1. โปรแกรมคำนวณภาษีที่เกี่ยวข้องกับการขายอสังหาริมทรัพย์
มีวัตถุประสงค์ให้บริการเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน
และประชาชนที่สนใจทราบเกี่ยวกับ
1. ความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขายอสังหาริมทรัพย์
2. วิธีการคำนวณภาษีที่เกี่ยวข้องกับการขายอสังหาริมทรัพย์
3. ช่วยในการคำนวณภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์
-
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย
-
ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย
-
ภาษีธุรกิจเฉพาะ
- อากรแสตมป์
การใช้โปรแกรมคำนวณภาษีที่เกี่ยวข้องกับการขายอสังหาริมทรัพย์ ผู้ขายอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ที่ขายนั้น
เช่น ราคาขาย ราคาประเมินทุนทรัพย์ของกรมที่ดิน
การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางมรดกหรือการให้โดยเสน่หา
หรือโดยทางอื่น และ จำนวนปีที่ถือครอง
จึงจะสามารถใช้โปรแกรมคำนวณได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ทั้งนี้จำเป็นต้องตรวจสอบการคำนวณกับเจ้าพนักงานที่ดิน
เมื่อมีการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ด้วย
อย่างไรก็ตาม
โปรแกรมนี้ได้อำนวยความสะดวกเบื้องต้น ในการค้นหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขายอสังหาริมทรัพย์ในกรณีต่างๆ
เช่นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีการถือกรรมสิทธิ์รวม
การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าลักษณะเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
การค้นหาราคาประเมินทุนทรัพย์ โดยค้นหาได้จากเมนู "ค้นหาราคาประเมินจากกรมธนารักษ์" และเมนู "กฎหมายที่เกี่ยวข้อง" หากศึกษาแล้วยังไม่เข้าใจ
หรือไม่ทราบกรณีแน่ชัดว่าจะต้องเสียภาษีหรือไม่ให้สอบถามไปที่ CALL CENTER ของกรมสรรพากร หมายเลขโทรศัพท์
1161
หรือสอบถามที่เจ้าพนักงานที่ดินผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
2. หลักเกณฑ์ทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการขายอสังหาริมทรัพย์
ผู้ขายอสังหาริมทรัพย์
มีหน้าที่ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีธุรกิจเฉพาะ(ถ้ามี) และอากรแสตมป์(ถ้ามี)
โดยนำส่งภาษีต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
ในขณะที่มีการจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดิน
(ในกรณีที่ไม่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ให้นำส่ง ณ
สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาภายใน 7 วัน
นับแต่วันที่จ่ายเงิน ไม่ว่าตนจะได้หักภาษีไว้แล้วหรือไม่)
สรุปได้ดังนี้
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ
ที่จ่าย
หรือภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย
2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ในกรณีผู้ขายเป็นผู้ค้าอสังหาริมทรัพย์ นิติบุคคลขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีไว้ในการประกอบ
กิจการ หรือบุคคลธรรมดาที่ขายอสังหาริมทรัพย์ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้น
หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านหลังที่ขายเป็นเวลาน้อยกว่า 1 ปี)
3.
อากรแสตมป์
4. อื่นๆ ที่เรียกเก็บจากกรมที่ดิน เช่น
ค่าพยาน ค่าคำขอ ค่าจดทะเบียน ฯลฯ
ซึ่งในการคำนวณภาษีแต่ละประเภท
ต้องทราบข้อมูลที่สำคัญที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.
ราคาขาย
-
กรณีบุคคลธรรมดาเป็นผู้ขาย
ราคาขาย หมายถึงราคาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนดโดยถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ซึ่งเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอน
- กรณีนิติบุคคลเป็นผู้ขาย
ราคาขาย ให้ใช้ราคาที่ซื้อขายกันจริงหรือราคาประเมินทุนทรัพย์
แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
-
กรณีธุรกิจเฉพาะ
รายรับ หมายถึงรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์
ให้ใช้ราคาที่ซื้อขายกันจริงหรือราคาประเมินทุนทรัพย์ แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
- อากรแสตมป์
กรณีบุคคลธรรมดาคำนวณอากรแสตมป์จากราคาขายหรือประเมินทุนทรัพย์
แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่าและกรณีนิติบุคคลเรียกเก็บจากราคาขายหรือราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรม
แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
2. วิธีการนับจำนวนปีที่ถือครอง
-
บุคคลธรรมดา
จำนวนปีที่ถือครอง หมายความถึง
จำนวนปีที่นับตั้งแต่ปีที่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์ถึงปีที่โอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์นั้น
ถ้าเกิน 10 ปีให้นับเพียง 10 ปี และเศษของปีให้นับเป็น 1
ปี (นับตามจำนวนปีปฏิทิน)
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ
การนับระยะเวลาการได้มาให้เริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ได้มา
จนถึงวันโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครองครองในอสังหาริมทรัพย์นั้น (นับวันชนวัน)
3.
วิธีการคำนวณภาษีและอัตราภาษี
- บุคคลธรรมดา
สำหรับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก หรือที่ได้รับมาจากการให้โดยเสน่หา
ให้หักค่าใช้จ่ายร้อยละ 50 ของเงินได้เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิแล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครอง ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้
ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครอง
เสีย
สำหรับอสังหาริมทรัพย์อื่นที่มิใช่มรดก
หรือที่ได้รับมาจากการให้โดยเสน่หา ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามมาตรา 4 ของ พรฎ.(ฉบับที่ 165) เหลือเท่าใดถือเป็นเงินได้สุทธิ แล้วหารด้วยจำนวนปีที่ถือครองได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใด
ให้คำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้
ได้เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนปีที่ถือครองผลลัพธ์ที่ได้เป็นเงินภาษีที่ต้องเสีย
หมายเหตุ
ผู้มีเงินได้อาจเลือกเสียภาษีโดยไม่นำไปรวมกับภาษีปลายปี
หากภาษีที่คำนวณได้มากกว่าร้อยละ 20 ของราคาขาย ก็ให้เสียเพียงร้อยละ 20
ของราคาขายนั้น
- นิติบุคคล
คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1
ของราคาขายหรือราคาประเมินทุนทรัพย์ของกรมที่ดินแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
-
ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ชำระภาษีในอัตราร้อยละ 3
ของราคาขายหรือราคาประเมินแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
และรายได้ส่วนท้องถิ่นอีกร้อยละ 10 ของภาษีธุรกิจเฉพาะ (คืออัตราร้อยละ 3.3 ของราคาขาย)
หมายเหตุ
กรณีขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรที่ได้กระทำระหว่างวันที่
29 มีนาคม 2552 - 28 มีนาคม 2553
ให้ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะจากอัตราร้อยละ 3 เป็น อัตราร้อยละ 0.1 ของราคาขาย
หรือราคาประเมินแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
และรายได้ส่วนท้องถิ่นอีกร้อยละ 10 ของภาษีธุรกิจเฉพาะ (คืออัตราร้อยละ 0.11 ของราคาขาย)
- อากรแสตมป์
- บุคคลธรรมดา เสียอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาท ต่อทุกจำนวนเงิน 200 บาท
และเศษของ 200 บาทของราคาขายหรือราคาประเมินทุนทรัพย์แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
- นิติบุคคล เสียอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาท ต่อทุกจำนวนเงิน 200 บาท
และเศษของ 200 บาทของราคาขายหรือราคาประเมินทุนทรัพย์แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า
หมายเหตุ สำหรับผู้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว
ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียอากรแสตมป์
3. สิทธิและหน้าที่ของผู้เสียภาษี
1. การยื่นแบบแสดงรายการประจำปี
เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร
ผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีตามจำนวนภาษีที่ถูกหักไว้ ณ
ที่จ่ายโดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นตามปกติตอนสิ้นปีก็ได้
แต่เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งไปทางการค้าหรือหากำไร
ผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้นั้นรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่นตามปกติ ตอนสิ้นปี(ภ.ง.ด.90)
และไม่มีสิทธิ์เลือกเสียภาษีตามจำนวนที่ผู้หักไว้ ณ ที่จ่าย
2. การขอคืนเงินภาษี
2.1 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
กรณีบุคคลธรรมดาถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย จากการขาย
อสังหาริมทรัพย์และนำส่งเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียมีสิทธิร้องขอคืนเงินภาษีส่วนที่ถูกหักเกินไปนั้นได้แต่ต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน
3ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีที่ถูกหักภาษีเกินไป(ตามม.63)
กรณีนิติบุคคลถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย
จาการขายอสังหาริมทรัพย์ไว้เกินให้ยื่นคำร้องขอคืนภายใน 3 ปี
นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการตามที่กฎหมายกำหนด(ม.27 ตรี )
2.2 ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษียื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีภายใน 3 ปี
นับแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี (ม.91/11)
2.3 อากรแสตมป์
กรณีผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ได้ชำระภาษีธุรกิจเฉพาะไว้แล้วได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียอากรแสตมป์มีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอคืนค่าอากรแสตมป์ได้ ภายใน 10 ปี นับแต่วันชำระค่าอากรแสตมป์(ม.193/30
แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์)
3. ความรับผิดในการไม่ชำระภาษี
กรณีผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ไม่ชำระภาษีหรือชำระภาษีไว้ไม่ถูกต้องอาจถูกเจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบและประเมินภาษีและจะต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับ 2 เท่า
ในกรณีไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือ 1 เท่ากรณียื่นรายการไม่ครบถ้วนของเงินภาษีที่ต้องเสียและต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ1.5
ต่อเดือนหรือเศษของเดือน (ตามมาตรา 27 )
Last Update : Tueday, October
30, 2012
(ปรับปรุงตามหนังสือด่วนที่สุดที่ กค
0702(กม.)/2362
ลว.25 ต.ค. 2555)